วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2558

ความฝันของเจ้าหญิงดิสนีย์ :: Disney Princesses' dream

     เมื่อวันเสาร์ได้ไปดู Cinderella เวอร์ชั่น 2015 มา มีภาพยนตร์หลายเรื่องที่นำเค้าโครงเรื่องนี้มาทำเป็นเวอร์ชั่นคนแสดง บ้างก็ดัดแปลงให้เป็นแบบทันสมัย แต่ซินเดอเรลล่าเวอร์ชั่น 2015 นี้เป็นการนำเทพนิยาย (และเวอร์ชั่นการ์ตูนที่เราดูมาตั้งแต่เด็ก) มาทำให้เห็นภาพจริงได้สวยงามอลังการสุดๆ ใครที่เติบโตมากับเทพนิยายของดิสนีย์ไม่ควรพลาดอย่างแรง ภาพยนตร์แนวเทพนิยายของดิสนีย์นอกจากภาพจะสวยงาม เพลงประกอบก็จะไพเราะติดหูด้วย เจ้าหญิงเหล่านี้มักจะมีความฝันออกแนวโลกสวยอ่ะค่ะ ฟังแล้วจะเคลิ้มนึกว่าตัวเองเป็นนางเอกโลกสวยไปด้วยอีกคน :) 


     วันนี้เลยขอนำเสนอ original soundtrack จากเทพนิยายสองเรื่องของดิสนีย์ที่เพิ่งเข้าโรงไปเมื่อปีที่แล้วและเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ลองฟังทั้ง original version จากอนิเมชั่นยุค 1950 และ 1959  และเวอร์ชั่นจากภาพยนตร์ปี 2014, 2015  เชิญรับชมและรับฟังค่ะ

Once upon a Dream จาก Sleeping Beauty (1959)


     Once upon a Dream จาก Maleficent 
เนื่องจากเรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวของ Maleficent เพลงประกอบเลยเปลี่ยนไปออกแนวหลอนนิดๆ
แต่ก็เพราะไปอีกแบบ


A dream is a wish you heart makes จาก Cinderalla 1950


A dream is a wish your heart makes จาก Cinderella 2015


และ soundtrack ที่เพราะสุดๆจาก Cinderella 
Lavender's blue (Dilly Dilly)




วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ข้อมูลดีดีสำหรับคนชอบแบ่งปัน :)


     ใครมีของเก่าไม่ได้ใช้แล้วแต่ไม่รู้จะส่งต่อให้ใครเชิญทางนี้เลยค่าาาา ขอแนะนำโครงการแบ่งปันเพื่อการเปลี่ยนแปลงของมูลนิธิกระจกเงา ที่นี่ไม่ได้ดูแลแค่เรื่องเด็กหายนะคะแต่ยังรับบริจาคสิ่งของเก่าที่ยังมีสภาพใช้งานได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ หนังสือและอื่นๆ

     ใครสะดวกไปบริจาคเองสามารถขนของไปที่มูลนิธิได้ตามวัน-เวลาที่กำหนดค่ะ หรือโทรสอบถามก่อนตามเบอร์ในภาพ ใครไม่สะดวกจะส่งทางไปรษณีย์ก็ได้นะคะ นอกจากนี้ทางมูลนิธิยังรับอาสาสมัครช่วยรับบริจาคของและคัดแยกสิ่งของด้วย ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.mirror.go.th และ www.charity.mirror.or.th ค่ะ

   
     ส่วนใครที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์เก่าๆใช้งานไม่ได้แล้วสามารถบริจาคให้กับ สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล ได้นะคะ


   

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

มาเป็น Snow White กันเถอะ

   
     สวัสดีวันจันทร์สุดท้ายของเดือนแห่งความรัก วันนี้ขอมีสาระแนะนำอาหารมีประโยชน์ต่อสุขภาพ หาทานง่าย เหมาะสำหรับวันทำงานที่เร่งรีบ เป็นอาหารว่างกรุบกริบยามบ่ายของหนุ่มสาวชาวออฟฟิศและเหมาะกับผู้ที่กำลังอยู่ในช่วงควบคุมน้ำหนักด้วย

    มีคำกล่าวไว้ว่า "One apple a day keeps doctor away" แค่ทานแอปเปิ้ลผลเดียวต่อวันคุณก็ห่างไกลจากโรคภัยได้ สำหรับใครก็ตามที่นั่งทำงานอยู่แล้วเกิดหิว อันนี้ตัวเองเป็นบ่อย ช่วงบ่ายมักจะเกิดอาการอยากกินอะไรไม่รู้ (รู้แต่ว่าน่าจะเป็นขนมกรุบกรอบกะน้ำอัดลม) คิดแล้วก็สละโต๊ะทำงานตะกายลงไปเดินหาของกินใน supermarket ทันที ((โชคดีที่ชั้นล่างของตึกทำงานมี villa market ให้สนอง need ได้ตลอดเวลา))

     แอปเปิ้ลมันดียังไง? แอปเปิ้ลจัดเป็นอาหารที่ให้พลังงานได้อย่างดีเยี่ยม เพราะมีทั้งคาร์โบไอเดรต วิตามินหลากหลายชนิด แร่ธาตุที่ร่างกายต้องการและไฟเบอร์ นอกจากช่วยให้หายหิวแล้วยังช่วยป้องกัน LDL Cholesterol และช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจอีกด้วย 

     นอกจากนี้้แอปเปิ้ลยังมีประโยชน์ช่วยให้คนชอบออกกำลังกายให้ร่างกายสามารถทนทานออกกำลังกายได้นานขึ้นอีกด้วย จากการวิจัยพบว่าแอปเปิ้ลมีสาร antioxidant เรียกว่า quercetin ที่ช่วยผลิตออกซิเจนอย่างเพียงพอไปยังปอด หากเราทานแอปเปิ้ล 1 ผลก่อนออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายเราสามารถอดทนได้นานยิ่งขึ้น ใครอยากรู้ข้อมูลประโยชน์ของแอปเปิ้ลแบบละเอียดยิ่งขึ้นตามไปอ่านต่อได้ที่ 5 Health Benefits of an Apple

   
     เห็นประโยชน์ของผลไม้ลูกเล็กๆนี้แล้วแนะนำให้มีแอปเปิ้ลติดตู้เย็นที่บ้านหรือที่ออฟฟิศไว้ค่ะ หิวเมื่อไหร่ก็หยิบมาทานได้เลย หรือเวลาจะออกไปข้างนอกก็พกออกมาได้ด้วย สะดวกดีค่ะ ปิดท้ายให้ดูตัวอย่างคนที่หลงไหลการทานแอปเปิ้ลนะคะ นางขาว ใส หุ่นบางค่ะ :)


ข้อมูลจาก
www.shape.com
www.bembu.com/energy-boosting-foods
www.eatingwell.com/nutrition_health/nutrition_news_information/5_health_benefits_of_an_apple
credit ภาพ
www.goodmorning-quotes.com
www.wallpapers111.com
www.tophqimages.com

วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ม่วนใจ๋ @ บ้านม่อนม่วน :: Mae Rim :: ChiangMai

     สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเจ้านายใจดีพาฉันและพี่ๆที่ออฟฟิศไปเที่ยวเชียงใหม่ ทริปนี้เป็นทริป eat & drink จนพวกเราแทบต้องขอเวลาจากเจ้านายให้พวกเราได้หิวมั่ง เจ้านายพาเราขึ้นไปนั่งชิลล์ๆกันที่ บ้านม่อนม่วน ซึ่งมีทั้งส่วนโรงแรมและร้านอาหาร เราไม่ได้พักกันที่นี่แค่แวะมาทานกาแฟและชมวิวพระอาทิตย์ลับขอบฟ้ากันเฉยๆ 

     ในร้านมีหลายโซนให้เลือกนั่งชมวิว ยิ่งช่วงต้นปีเจออากาศหนาวๆเข้าไปด้วยจะเลือกนั่งตรงไหนก็ถูกใจ วิวสวยไปหมด มีอาหาร เครื่องดื่มและขนมให้ทานด้วยค่ะ วันนั้นได้ลองชิมบราวนี่กับน้ำมะม่วงปั่น อร่อยถูกใจ (อีกละ :)







ระหว่างชมวิวสวยๆ สั่งสลัดทูน่า น้ำสลัดฟักทองมาเสริมสุขภาพค่ะ
     ใครที่มาเป็นหมู่คณะอยากได้โซนส่วนตัวไว้ทานข้าวกัน ตรงโซนนี้ก็เหมาะดีค่ะ 



 

     นั่งรอเวลาพระอาทิตย์ตกดิน



บรรยากาศทางเข้าด้านหน้า

 
 






     ใครที่แวะไปเก็บสตรอเบอร์รี่ที่สะเมิงหรือจะขึ้นไปม่อนแจ่ม แนะนำให้แวะไปที่นี่หาอะไรอร่อยๆทานและชมวิวสวยๆไปด้วยค่ะ

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

ความผิดพลาดที่น่าจดจำ : The Memorable Mistake

    เคยไหมที่วางแผนการเดินทางไว้อย่างดีแต่พอเวลาไปจริงๆ เกิดข้อผิดพลาดแบบหมดหนทางแก้ไข ฉันเคยเจอมากับตัวเมื่อตอนเดินทางไปอเมริกาปี 2009 ฉันกับเพื่อนๆวางแผนจะไป Grand Canyon กัน Grand Canyon National Park มีจุดท่องเที่ยวหลักคือ North Rim และ South Rim ส่วนมากคนจะเดินทางไปเที่ยวที่ South Rim มากกว่าเหตุผลคือ เดินทางไปง่ายกว่า ระยะเวลาเดินทางสั้นกว่า (จากเวกัสก็ปะมาณ 3-4 ชม. ส่วนระยะเวลาจากเวกัสไป North Rim จะต้องใช้เวลาประมาณ 5 ชม.) South Rim เปิดทุกวันและตลอดเวลา ไม่มีกำหนดปิดอุทยานเหมือน North Rim มีที่พักและสิ่งบริการนักท่องเที่ยวพร้อมกว่า มีจุดชมวิวสวยๆหลายจุด เราจึงตัดสินใจไป South Rim กัน
  
     Roadtrip เริ่มต้นจากบ้านเพื่อนที่ San Diego และไปพักที่ Las Vegas 3 คืน เราจะออกเดินทางจาก Las Vegas เพื่อไปที่แกรนด์แคนยอน  การเดินทางครั้งนี้เพื่อนซึ่งมีใบขับขี่ US จะเป็นคนขับ ส่วนฉันจะเป็นเนวิเกเตอร์คอยบอกทาง เราเช่ารถมาจากที่ San Diego เป็นรถ Dodge สัญชาติอเมริกันแท้ๆ ข้อดีคือคันใหญ่นั่งสบาย ข้อเสียคือบริโภคน้ำมันโฮกๆๆ และโฮก



     เราเดินทางไปแกรนด์แคนยอนกันในวันที่ 2 ของทริปเวกัส แต่ทริปเราไม่เคยเริ่มต้นแต่เช้าเนื่องจากเมื่อคืนเพื่่อนไปปาร์ตี้ฮัลโลวีนสุดเหวี่ยงในผับที่โรงแรมและกลับห้องมาตอนตี 3 กว่าฮีจะตื่นก็เกือบเที่ยง เราจึงออกเดินทางกันตอนประมาณบ่ายโมง ยังดีที่เพื่อนฉันปริ้นท์แผนที่อย่างละเอียดออกมาจาก Google map ถึงแม้ตอนเริ่มออกเดินทางเราจะหลงนิดหน่อยเพราะยังงงๆเส้นทาง แต่ซักพักก็กลับเข้าทางหลักตามที่แผนที่บอกได้ โล่งใจไปตามๆกัน 

     เราขับกันรถชมวิวกันไปเรื่อยๆ ซึ่งไม่มีอะไรนอกจากภูเขาหินกับทะเลทราย แรกๆก็ตื่นเต้นอู้หูอ้าหากันใหญ่ พอนานๆเข้าเริ่มมีอารมณ์แบบ...เฮ้ย จะไม่มีอะไรอื่นเลยจริงๆหรอ เป็นการขับรถกับวิวเดิมที่ยาวนาน มีบางช่วงที่เราขับบนถนนเลนเดียวสวนกันแล้วสองข้างทางเป็นทุ่งหญ้าทะเลทราย ไม่มีบ้านคน ไม่มีป้ายบอกทาง ไม่มีหลักกิโลใดๆ จนพวกเรามองหน้ากันแล้วสงสัยว่าถ้าเกิดรถเสียตรงนี้จะแจ้งศุูนย์ช่วยเหลือยังไง มันคือจุดใดบนโลก พวกเราจะตายกันกลางทะเลทรายอันไกลโพ้นนี้มั๊ย  

 

 
   
     เพ้อเจ้อกันไปพักใหญ่เราก็เจอป้ายรัฐ Arizona แถมมีกำกับด้วยว่า The Grand Canyon State พวกเราก็ตื่นเต้นกรี๊ดกร๊าดกันว่าใกล้แล้ว ใกล้แล้ว

 
    
    เราขับต่อไปเรื่อยๆ เส้นทางไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด ฉันนั่งมองวิวข้างทางไปเรื่อยๆและสังเกตุเห็นป้ายๆนึงซึ่งนั่นคือจุดเปลี่ยนของทุกอย่างในวันนี้ ป้ายนั้นเขียนว่า...Welcome to Utah ฉันงงมากรีบบอกเพื่อนว่า "เฮ้ย!เห็นป้าย Welcome to Utah ทำไมยูท่าห์ เราต้องไม่ผ่านยูท่าห์สิ มียูท่าห์ได้ไง" เกิดอาการถามซ้ำซากเหมือนคนเสียสติ ยังงงว่าเราจะผ่านมาถึง Utah ได้ยังไงเพราะรัฐนี้อยู่ทางเหนือ เราต้องอยู่ที่ Arizona ทางใต้ต่างหาก แต่ฉันมั่นใจว่าตาไม่ฝาดแน่นอน เรายังขับไปตามทางในแผนที่และเลี้ยวไปเจอเมืองและผู้คน เพื่อนตัดสินใจแวะปั๊มน้ำมันเพื่อจอดถามแล้วเดินกลับมาที่รถพร้อมรอยยิ้มและพูดว่า "ยินดีด้วย เราอยู่ยูท่าห์" บรรยากาศเงียบกริบกันทั้งรถ 

   พวกเราตั้งสติเริ่มหาสาเหตุของความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงนีี้ ฉันพลิกแผนที่ไปดูหน้าสุดท้ายซึ่งเป็นปลายทางที่เพื่อนฉันเลือกไว้ตอนค้นหาบน Google Map แล้วเราก็เจอความจริง ปลายทางในแผนที่คือ "Grand Canyon National Park North Rim" จบข่าว...ทุกคนเงียบ คืออยากด่าเพื่อนแต่ด่าไม่ออก จะเอายังไงต่อดี เวลาก็ผ่านไปนานตอนนั้นก็ประมาณสี่โมงกว่าแล้ว ฟ้าก็เริ่มครึ้ม มองไปไกลๆเหมือนเห็นพายุงวงช้างเล็กกำลังหมุนทรายเล่น ในที่สุดทุกคนก็ตัดสินใจว่าไหนๆก็มาเกินครึ่งทางแล้วก็ขับต่อไปให้ถึงละกัน เราเปิดกูเกิลเช็คข้อมูล North Rim ปรากฎว่าอากาศหนาวมาก มีหิมะตกด้วย...คนละอารมณ์กับ South Rim เลย เราก็ไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาต่อสู้กับหิมะด้วยสิ แต่พวกเรากัดฟันเดินทางต่อไป จากบรรยากาศภูเขาหินก็เปลี่ยนเป็นแบบนี้

 
   
     จากภูเขาหินและทะเลทรายเปลี่ยนไปเป็นป่าสนและหิมะ เวลาที่ถ่ายรูปนี้น่าจะประมาณ 5 โมงกว่า ฟ้าเริ่มครึ้มและมีหิมะโปรยปรายในบางช่วงของเส้นทาง กว่าเราจะไปถึงป้ายทางเข้าหน้าอุทยานก็เกือบทุ่มฟ้าเกือบมืดสนิทแล้ว ครั้นจะทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวไทยสไตล์ด้วยการถ่ายรูปกับป้ายก็ยังไม่กล้าทำเนื่องจากอากาศหนาวและบรรยากาศวังเวงน่ากลัว เราก็เถียงกันต่อว่าจะขับขึ้นไปต่อดีมั๊ยเพราะกว่าจะไปถึงจุดหมายจริงๆก็อีกไกลมากและต้องขับขึ้นเขาไปอีกหลายสิบกิโล ขึ้นไปถึงก็มืดสนิทพอดีคงมองอะไรไม่เห็นอยู่ดี แต่เพื่อนก็ยังดึงดันจะขับต่อไป ระหว่างทางพวกเราเริ่มถวิลหาห้องน้ำเพราะดื่มน้ำกันไปเยอะฉันเริ่มเร่งเพื่อนให้ขับเร็วขึ้น หลังจากทรมานอดทนอดกลั้นกันมาพักใหญ่เราก็มาถึงปลายทาง ป้ายเดียวที่เรามองหาคือ ห้องน้ำ และเราก็เจอมันจนได้ ห้องน้ำที่เจอเป็นแบบตู้พลาสติกตั้งเรียงกันเป็น 10 ห้อง เปิดเข้าไปเจอสภาพน่าสยดสยองทุกห้อง เพื่อนสั่งให้กลั้นใจเข้าไปใช้บริการให้ได้และสุดท้ายฉันก็ต้องยอม แต่แอบมีน้ำตารื้นนิดนึง     

      หลังจากทุกคนเสร็จสิ้นภารกิจแล้วก็เกิดอาการว่างเปล่า คือจะเอาไงต่อดี มองทางไหนก็มืดสนิท ไม่รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน แล้วจะไปหวังอะไรว่าจะมองเห็นแกรนด์แคนยอน เรามองหน้ากันและถอนหายใจ ตัดสินใจขับรถกลับลงมา เมื่อเราสบายตัวแล้วก็เริ่มเอนจอยวิวข้างทาง สิ่งที่เห็นเหมือนภาพวาดที่สวยงามมากแบบบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ดวงจันทร์ดวงโตสีเหลือง ท้องฟ้าสีฟ้าเข้ม แสงจันทร์สะท้อนลงมาที่ต้นสนและหิมะบนพื้น เราถึงกับต้องจอดรถเพื่อมองวิวพวกนั้นให้ชัดและจดจำภาพนั้นให้เข้าไปอยู่ในใจ ตัวฉันเองรวมถึงเพื่อนในทริปเป็นพวกถ่ายรูปไม่เก่งและเราก็มักจะใช้แค่กล้องธรรมดากับโทรศัพท์เพื่อถ่ายรูป แต่ไม่ว่าจะถ่ายยังไงก็ไม่สวยงามเหมือนที่เห็นด้วยตาจริงๆและนี่ก็คือเหตุผลที่ฉันชอบท่องเที่ยวเพราะอยากเห็นภาพนั้นกับตา เนื่องจากวันนั้นไม่มีใครเก็บภาพที่สวยงามนั้นไว้ได้ฉันจึงไม่มีรูปจริงจะให้ดู แต่ลองหาภาพที่ใกล้เคียงจากในกูเกิลมาได้ สิ่งที่เห็นก็จะสวยงามประมาณนี้

    
Credit: https://archiehopeful.wordpress.com/2011/12/01/it-is-winter/


ตรงไหนที่เป็นที่โล่งก็จะสว่างเพราะได้ดวงจันทร์ดวงใหญ่สาดแสงไปเต็มที่
      ตลอดเวลาไม่มีรถคันอื่นแล่นมาเลยจึงมีแค่เราสามคนกับธรรมชาติที่สวยงาม เราเลยจอดข้างทางและลงมาปาหิมะเล่นกันอยู่พักใหญ่จนมือสั่นปากสั่น สุดท้ายก็ทนความหนาวไม่ไหวต้องกลับเข้ามาอบฮีทเตอร์ในรถ หลังจากนั่งหัวเราะกันอยู่พักใหญ่เราก็ต้องละทิ้งความสนุกสนานและความทรงจำไว้เบื้องหลัง ออกรถเพื่อขับกลับไปยังโรงแรมที่เวกัส หนทางยังอีกยาวไกลและต้องใช้เวลาอีกหลายชั่วโมง


     ฉันกับเพื่อนอีกคนสลับกันนั่งเม้าท์เป็นเพื่อนคนขับ ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องแผนที่ผิดหรือไปแล้วไม่ได้เห็นแกรนด์แคนยอนขึ้นมาอีก แต่เราคุยกันเรื่องวิวป่าสน หิมะขาวปุยและพระจันทร์ดวงใหญ่แทน บางครั้งเราอาจไม่ได้ในสิ่่งที่เราคิดไว้ ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลอะไรก็ตาม แต่บางทีเราอาจจะได้เจออะไรที่สวยงามไม่แพ้กันก็ได้ และนี่เป็นอีกครั้งที่ฉันรู้สึกว่านี่แหละคือ "ความผิดพลาดที่น่าจดจำ"

วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2558

คุณลุงใจดี ณ วอชิงตัน ดี.ซี.

   ในการเดินทางทุกครั้งมักจะมีเรื่องตลกที่ให้เราเอากลับมาเม้าท์ให้เพื่อนฟังได้ตลอด บางทีก็เป็นเรื่องเล็กๆแต่นึกทีไรก็อดยิ้มไม่ได้ เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนไปหาเพื่อนสนิทที่ Washington, D.C. และมีวันนึงพวกเราก็ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ต่างๆของ Smithsonian ตอนนั้นเราไปกัน 3 คน หญิง 2 ชาย 1 พอเราเดินเข้าไปที่ National Museum of Natural History เราก็จะเจอแมมมอธตัวใหญ่ตัวนึงซึ่งเป็นจุดที่เหมาะกับการถ่ายรูปอย่างมาก เราถ่ายรูปเดี่ยวเล่นได้ซักแป๊ปเพื่อนผู้ชายขอหนีไปห้องน้ำเหลือสาวสองคนผลัดกันถ่ายรูปกับแมมมอธอย่างสนุกสนาน 

     ระหว่างที่เพื่อนถ่ายรูปให้ฉันอยู่ ฉันมองเห็นลุงฝรั่งสูงวัยหน้าตาใจดีคนนึงท่าทางจะเป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกัน คุณลุงยืนอยู่ข้างเพื่อนและมองเราสองคนพร้อมยิ้มกริ่ม และหลังจากนั้นไม่นานคุณลุงดูจะเก็บความใจดีไว้ไม่ไหวเลยเสนอความช่วยเหลือที่จะถ่ายรูปคู่ให้เรา เพราะเห็นเราถ่ายรูปเดี่ยวมานานคงนึกว่ามากัน 2 คนและกลัวเราไม่มีีรูปคู่ (ก็สมัยนั้นยังไม่มีอุปกรณ์เซลฟี่ ฮี่ฮี่)    

      เรากลัวคุณลุงเสียน้ำใจเลยตอบตกลง ฉันยื่นกล้องให้คุณลุงและเราสองคนก็ไปยืนโพสท์ท่ารออยู่หน้าแมมมอธ เราอยากจะให้ลุงรีบถ่ายให้จบๆไปแต่มันก็ไม่ง่ายดายขนาดนั้น คุณลุงอายุค่อนข้างเยอะ กว่าจะหยิบกล้อง กว่าจะเล็ง กว่าจะกดถ่าย แต่ระหว่างที่รอถ่ายใจเราหวั่นไหวตลอด

       บทสนทนาของฉันกับเพื่อนหน้าแมมมอธ 
       ฉัน         :  ลุงมือสั่นมากอ่ะ
       เพื่อน     :  เออดิ 
       ฉัน         :  รูปจะเบลอมั๊ย
       เพื่อน     :  kuไม่กลัวรูปเบลอค่ะ kuกลัวกล้องตกมากกว่า
       
       ในที่สุดมือสั่นๆของคุณลุงก็กดชัตเตอร์สำเร็จ 1 แชะ เราเดินกลับไปดูรูป
       คุณลุงถามเราพร้อมยิ้ม "รูปโอเคมั๊ย?"
       เรา (นำ้เสียงตื่นเต้น ตอบแบบพร้อมเพรียง) "โอเคมากค่าา สวยค่าาา ขอบคุณมากนะค้าาาา"

       และนี่คือรูปที่เราได้มา...


 ...เบลอมากค่าาาาา

วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558

แชร์ข้อมูลการไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน

     ฉันมีโอกาสได้ไปปฎิบััติธรรมที่วัดอัมพวัน 2 ครั้ง หลังจากที่ไปมาทั้งสองครั้งได้อะไรกลับมาแตกต่างกัน เลยคิดว่าจะมาแชร์ข้อมูลเบื้องต้นให้คนที่สนใจจะไปปฎิบัติธรรมที่วัดอัมพวันได้เตรียมตัวให้พร้อมค่ะ

     เตรียมเก็บกระเป๋าไปอยู่วัด
     - ชุดขาวสำหรับปฎิบัติธรรม ผู้ชายเป็นเสื้อ-กางเกงขาว ผู้หญิงใส่เสื้อ-ผ้าถุงขาวพร้อมสไบขาว
     - ของใช้ส่วนตัว (สบู่, ยาสีฟัน,แปรงสีฟัน,แชมพู,โรลออน,ผ้าเช็ดตัว) ส่วนของที่ห้ามคือ เครื่องสำอางค์, แป้งฝุ่น, ครีมบำรุงผิวหน้า-ผิวกายทุกชนิด (ถือศีล 8 ห้ามทาของหอม เครื่องประทินผิวทุกชนิด)
     - จำนวนชุดขาวขึ้นอยู่กับระยะเวลาปฎิบัติ ใครจะอยู่นานหน่อยไม่ต้องพกไปครบจำนวนวันก็ได้นะเพราะที่วัดมีสถานที่ให้ซัก แต่ใครไม่สะดวกซักเองก็จ้างซักได้ค่ะ (มีร้านรับซักชุดขาวราคาชุดละ 15 บาท-ไม่รู้ขึ้นราคารึยังนะ)
     - ภายในวัดมีร้านขายชุดขาวปฎิบัติธรรม (ราคาถูกกว่าร้านข้างนอกค่ะ) พกมาบางส่วนและมาซื้อเอาที่วัดก็ได้นะคะ
     - สำหรับใครที่ไม่สะดวกนำชุดขาวไปเอง ที่วัดก็มีให้ยืมค่ะ (แต่ขอบอกว่าต้องต่อคิวยาวมากโดยเฉพาะช่วงวันหยุด)
     - ไม่ควรพกของไปเยอะและไม่ควรเอากระเป๋าใหญ่ไปค่ะเพราะพื้นที่สำหรับนอนค่อนข้างจำกัดและเบียดมาก ซึ่งพื้นที่นี้ต้องใช้นอนรวมถึงวางของและกระเป๋าด้วย จะเกะกะตัวเองและคนอื่นรอบข้างค่ะ
     - ทางวัดมีหมอนและผ้าห่มให้แต่ผ่านการใช้งานมานับไม่ถ้วน หากใครที่เน้นเรื่องสุขอนามัยมากหน่อย ควรนำหมอนใบเล็กและผ้าห่มผืนเล็กๆไปเองหรือจะเอาผ้าผืนเล็กไปปูพื้นนอนก็ได้ค่ะ
     - ควรมีกระเป๋าใบเล็กๆสำหรับใส่ของใช้ส่วนตัวหรือของมีค่าระหว่างไปปฎิบัติธรรม ควรนำไปเฉพาะของมีค่าที่จำเป็นเพื่อไม่เป็นภาระในการดูแล กระเป๋าควรเป็นสีสุภาพ (หากใครไม่ได้นำไป ร้านค้าภายในวัดมีขายค่ะ)
     - ทางวัดกำหนดให้ใส่ชุดปฏิบัติธรรมนอนค่ะ สำหรับผู้หญิงอาจจะนุ่งกางเกงสีขาวแทนผ้าถุงได้ค่ะ แต่ห้ามใส่เสื้อ-กางเกงสีอื่นนะคะ
     - ไม่มีปลั๊กไฟให้ชาร์ทแบตโทรศัพท์มือถือนะคะ เพราะทางวัดห้ามใช้มือถือระหว่างที่อยู่ปฎิบัติกรรมฐาน ควรปิดไว้เพื่อประหยัดแบตค่ะ

ไปครั้งแรกโชคดีได้ที่นอนริมกำแพง
ไปครั้งที่สองได้ที่นอนกลางห้องเลยค่ะ รายล้อมไปด้วยคนและข้าวของ
     ระยะเวลาที่จะเข้าปฎิบัติธรรมมีให้เลือก 2 แบบ คือ
1. แบบ 3 วัน (เข้าเย็นวันศุกร์ ออกวันเช้าอาทิตย์) 
 2. แบบ 7 วัน (เข้าวันโกนและออกวันโกน)
     * วันโกนคือวันก่อนวันพระค่ะ
    สำหรับผู้ที่มาเข้าปฎิบัติวันศุกร์ช่วงเทศกาลคนจะเยอะมากค่ะ เคยไปช่วงสงกรานต์มีคนมาประมาณ 3 พันกว่าคน ที่นอนไม่พอต้องเกิดกลุ่ม "อุ้มหมอน" คือไปรับหมอนและไปนอนรวมกันตามอาคารที่เจ้าหน้าที่จัดไว้ (ไม่มีที่ให้เก็บกระเป๋านะคะ)

     สำหรับบางคนที่สงสัยว่าเข้าไม่ตรงวันที่กำหนดได้หรือไม่ คำตอบจริงๆคือ ได้แต่ไม่ควรทำ เหตุผลคือ ไม่ตรงตามระเบียบที่ทางวัดกำหนดซึ่งจะสร้างความยุ่งยากให้เจ้าหน้าที่ รวมทั้งการรับศีลและลาศีลที่ห้ามทำในวันพระ หรืออาจต้องรับศีลและลาศีลเอง สำหรับผู้ที่มาปฎิบัติครั้งแรกควรเข้าตรงตามวันที่กำหนดเท่านั้นเพราะจะมีพระอาจารย์มาสอนวิธีการฝึกกรรมฐานให้กับผู้ปฎิบัติใหม่ หากไม่ได้เรียนพื้นฐานนี้ผู้ปฏิบัติอาจไม่เข้าใจถึงการปฏิบัติที่ถูกต้อง

     คำแนะนำสำหรับการเลือกระยะเวลาในการปฎิบัติ หากใครที่ยังไม่เคยฝึกปฎิบัติมาก่อนควรเลือกแบบ 7 วัน เพื่อให้จะมีเวลาเพียงพอสำหรับศึกษาและฝึกกรรมฐานซึ่งตัวผู้ปฎิบัติจะได้ประโยชน์มากกว่า แต่สำหรับคนที่เคยปฎิบัติมาแล้วจะเลือกแบบ 3 หรือ 7 วันก็ได้ตามแต่ที่สะดวกค่ะ

    ผู้ที่จะมาปฎิบัติธรรมที่วัดอัมพวันควรไปถึงที่วัดประมาณ 16.00 น. ไปถึงให้กรอกแบบฟอร์มลงทะเบียน อย่าลืมเตรียมบัตรประชาชนไปด้วย (เด็กควรมากับผู้ปกครองหรือมีผู้ปกครองมาเซ็นยินยอมด้วยค่ะ) ทางเจ้าหน้าที่จะทำบัตรติดหน้าอกให้ซึ่งต้องติดให้เห็นชัดเจนตลอดเวลาที่ปฎิบัติ ในบัตรจะระบุชื่อ-นามสกุล ระยะเวลา และสถานที่พักซึ่งจะมีอยู่หลายอาคาร (เจ้าหน้าที่จะเป็นผู้กำหนดให้ค่ะ) เมื่อได้รับบัตรแล้วให้หยิบหนังสือคู่มือผู้ปฏิบัติธรรมเล่มสีชมพู 1 เล่ม และพกติดตัวไว้ สำหรับใช้สวดทำวัตรเช้า-วัตรเย็นและควรอ่านเพื่อเข้าใจในข้อปฏิบัติของผู้ที่มาปฎิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน




    ผู้ที่มาปฎิบัติธรรมเมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดขาวแล้วจะต้องเริ่มถือศีล 8 ทันทีนะคะ ข้อห้ามที่เพิ่มเติมจากศีล 5 คือ ต้องถือพรหมจรรย์ (ห้ามผู้หญิงผู้ชายถูกเนื้อต้องตัวกันเด็ดขาด เวลาเดินสวนกันต้องคอยหลบ) ห้ามดูละคร ฟังเพลงหรือการแสดง (งด youtube และละครออนไลน์ชั่วคราว) ห้ามนอนบนฟูกหรือที่นอน ซึ่งทางวัดไม่มีให้อยู่แล้วค่ะต้องนอนพื้นอย่างเดียว ห้ามปะแป้งหรือประทินผิวด้วยเครื่องหอม แปลว่างดแต่งหน้าทาครีม (รวมทั้งห้ามทาครีมกันแดดด้วยค่ะ) และที่สำคัญ "ห้ามทานอาหารหลัง 12.00 ดื่มได้แค่น้ำปานะเท่านั้น" หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วก็รอฟังเสียงระฆังเพื่อไปตามสถานที่ที่กำหนดและเริ่มทำวัตรเย็นเวลา 18.00 น.

    ช่วงเวลาในแต่ละวันจะแบ่งเป็น
    4.00-6.30       ทำวัตรเช้าและปฎิบัติกรรมฐาน
    6.30-8.00       ทานอาหารเช้าและพักผ่อน
    8.00-11.00     ปฎิบัติกรรมฐาน
    11.00-13.00   ทานอาหารกลางวันและพักผ่อน
    13.00-16.00   ปฎฺิิบัติกรรมฐาน
    18.00-21.00   ทำวัตรเย็นและปฎิบัติกรรมฐาน
    21.00               เข้านอน
 
    อาหารที่ทางโรงทานจัดเตรียมให้จะเป็นอาหารเจค่ะ มีแค่บางมื้อเท่านัั้นที่จะมีเนื้อสัตว์ (บางมื้อจริงๆค่ะ ไปอยู่ 7 วันอาจได้เจอซักมื้อนึง :) ใครที่ทานไม่อิ่มสามารถเติมได้ และด้านนอกโรงทานก็มีอาหารขายค่ะ (ไม่เจ-เนื้อสัตว์เต็มๆ) ภายในพื้นที่ปฎิบัติธรรมมีน้ำ-ขนม-มาม่าขายค่ะ ไม่ต้องกลัวอด แต่ต้องทานก่อนเที่ยงนะคะ หลังเที่ยงทานได้แค่นมกับน้ำผลไม้ จัดกันได้เต็มที่ถ้าไม่กลัวต้องเดินมาเข้าห้องน้ำไกลๆ :)
 
    บอกวิธีการเตรียมตัวทางกายไปแล้วนะคะ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความตั้งใจของผู้ปฏิบัติค่ะ การมาฝึกกรรมฐานจะมีประโยชน์มากกับคนที่มีศรัทธาในแนวทางคำสอนของพระพุทธเจ้า การทำกรรมฐานไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนฝึกใหม่รวมถึงคนที่ฝึกปฏิบัติมานานแล้ว ผู้ที่มาจะต้องมีความตั้งใจและอดทนมาก ไม่เช่นนั้นการมาฝึกครั้งนี้ก็จะเป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ จากประสบการณ์ตรงที่เคยไปฝึกกรรมฐานที่วัดอัมพวันมา 2 ครั้ง ครั้งแรกไปแบบไม่เคยฝึกกรรมฐานที่ไหนมาก่อน แค่นั่งสมาธิยังแทบไม่ทำเลยด้วยซ้ำ พอมาฝึกที่วัดนี้มีพระอาจารย์มาสอนพื้นฐานให้ก็พอจะฝึกตามได้ เมื่อเรามีศรัทธาแล้วเราก็จะมีความพยายาม อย่างน้อยที่สุดก็ได้ฝึกความอดทนกับทุกขเวทนาซึ่งก็คือความเจ็บปวดและเมื่อยล้าจากการนั่งกรรมฐานให้ได้


     ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้ไปปฎิบัติธรรมด้วยนะคะ ใครยังไม่เคยไปก็น่าจะลองไปดูซักครั้งนะคะ เพื่อที่วันนึงเวลาเราพูดว่า "ชีวิตดี๊ดี หมายถึง ชีวิตเราดีและมีความสุขทั้งทางกายและทางใจค่ะ"